SIDEBAR
»
S
I
D
E
B
A
R
«
ภาวะสับสนอย่างเฉียบพลัน : มุมมองใหม่ในการป้องกันดูแล
มี.ค. 19th, 2016 by rungtiwa

ภาวะสับสนอย่างเฉียบพลัน : มุมมองใหม่ในการป้องกันดูแล

บทคัดย่อ

ภาวะสับสนอย่างเฉียบพลัน เป็นอาการผิดปกติ ชั่วคราวของการนึกคิดความสนใจและความตั้งใจเป็นภาวะที่นำผู้ป่วยไปสู่ความตายหรือมีพยากรณ์โรคที่เลว โดยมักจะพบในผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคประจำตัวหลายโรคต้องรับประทานยาหลายชนิด หรืออยู่ในภาวะวิกฤติ

สาเหตุของภาวะสับสนอย่างเฉียบพลัน เชื่อว่ามาจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1) สาเหตุที่กระทำต่อสมองโดยตรง หรือมีการรบกวนระบบทางสรีรวิทยา 2) การรบกวนทางภาวะจิตใจ 3) การรบกวนจากสิ่งแวดล้อมภายนอก 4) การรบกวนทางเภสัชวิทยาจากการใช้ยาหลายชนิด ผู้ป่วยจะแสดงอาการออกมาหลายรูปแบบ เช่นมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น หรือลดลงหรือทั้งสองแบบผสมกัน มีการเปลี่ยนแปลงด้านการนึกคิด สมาธิ อารมณ์ การรับรู้เวลา สถานที่ ความจำ

ในการประเมินผู้ป่วย พยาบาลควรใช้ทักษะการสังเกต การสัมภาษณ์ และการทดสอบความนึกคิด เชาว์ปัญญา การรับรู้ การแปลความหมาย และการสร้างปฏิสัมพันธ์ของผู้ป่วย โดยมองผู้ป่วยอย่างเป็นระบบเปิดและประเมินผู้ป่วยตามบริบทและสภาพแวดล้อมของผู้ป่วย พยายามหาสาเหตุที่เฉพาะเจาะจง จากนั้นจึงวางแผนการพยาบาลที่มีความเป็นไปได้ มีเป้าหมาย มีกิจกรรม และมีส่วนร่วมของทีมการพยาบาลมีการบันทึกและประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

บทบาทที่สำคัญอีกประการหนึ่งของพยาบาล ได้แก่การป้องกันและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง โดยการเตรียมผู้ป่วย ชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจ ให้ความกระจ่างในการพยาบาล หรือสิ่งแวดล้อม ให้การสัมผัส และติดตามผลการตอบสนองของผู้ป่วย นอกจากนี้พยาบาลควรต้องเรียนรู้การใช้เทคนิคเฉพาะด้านในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาต่าง ๆ เช่นมีความนึกคิดบกพร่อง ประสาทหลอน ตื่นตระหนก สูญเสียความทรงจำ เป็นต้น

อรพินท์ สีขาว. (2546). ภาวะสับสนอย่างเฉียบพลัน : มุมมองใหม่ในการป้องกันดูแล. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (13), 91-101.

ประสบการณ์การดูแลอย่างต่อเนื่องโดยครอบครัวเป็นศูนย์กลางในมุมมองของผู้ป่วยและครอบครัว
มี.ค. 5th, 2016 by rungtiwa

ประสบการณ์การดูแลอย่างต่อเนื่องโดยครอบครัวเป็นศูนย์กลางในมุมมองของผู้ป่วยและครอบครัว

บทคัดย่อ:

การดูแลที่เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (Family-centered care) เป็นแนวคิดหนึ่งของการบริการสุขภาพที่ตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทครอบครัวต่อสุขภาพของสมาชิก และเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการดูแลสุขภาพของผู้บริการอย่างต่อเนื่อง การศึกษาและการนำแนวคิดนี้ไปใช้ในการบริการสุขภาพในประเทศไทยมีค่อนข้างน้อย การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ของผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องตามมุมมองของผู้ป่วยและครอบครัว โดยศึกษาว่าครอบครัวมีบทบาทและมีปัญหาในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยอย่างไร ผู้ป่วยและครอบครัวต้องการและคาดหวังการช่วยเหลือสนับสนุนหรือการบริการจากบุคลากรทางด้านสุขภาพอย่างไร วิธีการวิจัยที่ใช้ในการศึกษา คือ การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เจาะลึก ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน และต้องมาโรงพยาบาลตามแพทย์นับเป็นระยะๆ เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง จำนวน 7 ราย และสมาชิกของครอบครัวที่มีบทบาทหลักในการดูแลผู้ป่วย ตลอดระยะของการเจ็บป่วย จำนวน 10 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าครอบครัวเป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพของบุคคล บทบาทของครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย ได้แก่ การช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมต่างๆ การเรียนรู้เกี่ยวกับโรคและการดูแลผู้ป่วย การประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วย การตัดสินใจจัดการแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย การดูแลให้ผู้ป่วยปลอดภัย การจัดการให้ผูป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง และการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย ปัญหาของครอบครัวในการให้การดูแลผู้ป่วย ได้แก่ การได้รับข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับโรค การรักษา และการดูแลผู้ป่วยไม่เพียงพอ ขาดการมีส่วนร่วมในการักษาพยาบาล มีภาวะตึงเครียดจากการให้การดูแลผู้ป่วย และประสบปัญหาหลายๆ ด้าน ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม สิ่งที่ครอบครัวคาดหวังจากบุคลากรสุขภาพ คือ ข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล การมีส่วนร่วมในกระบวนการรักษาพยาบาล การสอนคำแนะนำ คำปรึกษาและการช่วยเหลือสนับสนุนในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ผลการวิจัยได้สนับสนุนแนวคิดการดูแลที่เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง ได้สะท้อนกระบวนทัศน์ในการให้บริการสุขภาพของบุคลากรทางด้านสุขภาพ และได้ให้ข้อเสนอแนะบางประการต่อการบริกาสุขภาพ การพัฒนาการบริการสุขภาพโดยใช้แนวคิดการดูแลที่เน้นครอบครัวเป็นศุนย์กลาง ควรมีการประเมินทัศนะของบุคลากรสุขภาพและผู้บริการต่อองค์ประกอบต่างๆ ของแนวคิดนี้ ตลอดจนควรมีการทดสอบประสิทธิภาพของการบริการสุขภาพที่พัฒนาขึ้นต่อไป

รัชนี นามจันทรา นภาพร แก้วนิมิตชัย อรพินท์ สีขาว พรศิริ พันธสี ลลิตา ตรีวิทยาภูมิ สิรินดา ศรีจงใจ และ ศิริพจน์ มะโนดี.  (2548). ประสบการณ์การดูแลอย่างต่อเนื่องโดยครอบครัวเป็นศูนย์กลางในมุมมองของผู้ป่วยและครอบครัว. วารสาร มฉก.วิชาการ 8 (16), 14-28.

อ่านบทความฉบับเต็ม

การศึกษารูปแบบการสอนกระบวนการพยาบาลที่เน้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณต่อความสามารถในการใช้กระบวนการพยาบาลของนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ก.พ. 29th, 2016 by rungtiwa

การศึกษารูปแบบการสอนกระบวนการพยาบาลที่เน้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณต่อความสามารถในการใช้กระบวนการพยาบาลของนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

A Study of the Methods of Nursing Process Teaching Through Critical Thinking Procedures and Assessment of Decision – Making Ability of HCU Nursing Students

บทคัดย่อ:

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความสามารถในการใช้กระบวนการพยาบาลและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกระบวนการพยาบาลระหว่างนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการสอนแบบปกติและการสอนที่เน้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่กำลังศึกษาวิชากระบวนการพยาบาลและการประเมินภาวะสุขภาพ ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2546 จำนวน 66 คน ซึ่งได้จากการแบ่งนักศึกษาในชั้นเรียนตามผลการเรียน แล้วสุ่มตัวอย่างแบบง่ายจากแต่ละกลุ่มผลการเรียน เป็นกลุ่มควบคุม 33 คน กลุ่มทดลอง 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการสอนกระบวนการพยาบาลที่เป็นการสอนแบบปกติและแผนการสอนที่เน้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) แบบประเมินความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) แบบประเมินความสามารถในการใช้กระบวนการพยาบาล 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องกระบวนการพยาบาล สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-tes) ผลการศึกษาพบว่า Read the rest of this entry »

»  Substance:WordPress   »  Style:Ahren Ahimsa