SIDEBAR
»
S
I
D
E
B
A
R
«
Pantip.com จับมือ ม.เกษตร เปิดตัวระบบ Auto Tag ด้วย Machine Learning
มี.ค. 14th, 2016 by supaporn

ที่ผ่านมา Pantip ให้เจ้าของกระทู้เป็นฝ่ายเลือกแท็กให้กระทู้เอง ปัญหาที่พบคือ 1) ใส่แท็กไม่เป็น 2) สแปมแท็ก อยากให้คนเห็นเยอะๆ เลยตั้งแท็กหว่านๆ

ทางแก้ของ Pantip คือต้องมีทีมงานตรวจสอบกระทู้อย่างละเอียด และแก้ไขแท็กให้ถูกต้อง ปัจจุบันมีกระทู้ใหม่วันละ 5,000 กระทู้ ถือเป็นงานหนัก ต้องใช้ทีมเว็บมาสเตอร์หลายสิบคนช่วยกันมอนิเตอร์ เปลืองแรงมาก จึงมีระบบเข้ามาช่วยแยกแยะข้อความในกระทู้ เพื่อนำเสนอแท็กให้ผู้ใช้งาน อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.blognone.com/node/79057

อ่านปัญหาของ Pantip แล้วทำให้นึกถึงเวลาที่บรรณารักษ์ให้คำสำคัญ ให้หัวเรื่อง ระยะหลังๆ ใช้เป็น tag และเปิดโอกาสให้คนอ่านเข้ามาใส่ tag เองในลักษณะที่เรียกว่า Folksonomies ที่นี้ก็จะเปิดปัญหาที่ว่าเนื้อหาลักษณะเดียวกัน มีการให้คำสารพัดคำที่จะใส่ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็มีทั้งเป็นเอกพจน์ พหูพจน์ เพื่อจะให้เข้าถึงได้หมดไม่ว่าจะค้นด้วยคำไหน แต่ก็จะเกิดปัญหาเนื้อหาอย่างเดียวกัน บางคนใส่คำนี้ บางคนไม่ใส่ การค้นจึงได้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน พลาดข้อมูลบางรายการ จะสามารถใช้ Auto Tag แบบนี้ได้บ้างก็จะดี

รายการอ้างอิง
mk. (2559). Pantip.com จับมือ ม.เกษตร เปิดตัวระบบ Auto Tag ด้วย Machine Learning. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2559 จาก https://www.blognone.com/node/79057

อายุการเก็บเอกสารภาษี
มี.ค. 14th, 2016 by supaporn

ตั้งแต่เดือนมกราคม เป็นต้นมาจนจะสิ้นสุดเดือนมีนาคม ที่ประชาชนคนไทยที่มีหน้าที่ในการเสียภาษีให้แก่รัฐ  เพื่อนำเงินภาษีไปพัฒนาประเทศต่อไปนั้น ผู้เขียนซึ่งทำหน้าที่ของพลเมืองที่ดี ในการยื่นแบบการเสียภาษีมาทุกๆ ปี ตั้งแต่ยังต้องกรอกรายการเสียภาษี รายการการลดหย่อน งง มาก งง น้อย จนเกิดความชำนาญ จนมาถึงมีการยื่นแบบภาษีผ่านทางอินเทอร์เน็ต ชีวิต Happy ขึ้นเยอะเลย ศึกษาวิธีการกรอกไปเรื่อย เพราะกรมสรรพากร ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ปรับเปลี่ยนแบบฟอร์มการกรอกอยู่เสมอๆ เหมือนกัน

เป็นประจำทุกปี ที่มักจะยื่นการเสียภาษี เกือบจะหมดเวลาการยื่น คนรอบข้างทั้งลูกน้อง เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ต่างได้รับเงินคืนภาษี จนพูดว่าเอาเงินที่ได้จากการคืนภาษีไปใช้หมดแล้ว บ้างก็บอกว่า ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม  2 ปีที่แล้วยื่นวันสุดท้ายเลย กลัวอยู่เหมือนกัน เพราะคนก็จะเฮโลยื่นทางออนไลน์วันนั้นกันเยอะ  อาจจะทำให้ระบบเกิดปัญหาได้ ปีนี้ ได้จังหวะว่าง เลยได้ยื่นภาษีไปเมื่อวันก่อน เห็นซองเอกสารการเสียภาษี ที่เก็บไว้ในแต่ละปี เขียนกำกับหน้าซองไว้เรียบร้อย แถม save เก็บเป็นไฟล์ไว้ในคอมพิวเตอร์อีกต่างหาก จัดเก็บเป็นโฟลเดอร์เรียงตามลำดับ เลยให้เอะใจว่า ตกลงเราต้องเก็บเอกสารหลักฐานพวกนี้ กี่ปี จึงจะทำลายหรือลบได้ สอบถามไปในกลุ่มไลน์ได้มาหลายคำตอบ สุดท้ายมีน้องส่งคำตอบจากระบบสารานุกรมภาษี http://wiki.mof.go.th/mediawiki/index.php/ความรู้เกี่ยวกับภาษี_J มาให้อ่าน  ในเว็บระบบสารานุกรมภาษี เขียนไว้ว่า “ตามกฏหมายภาษี – กำหนดให้ผู้เสียภาษีต้องเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษีไม่น้อยกว่า 5 ปี ภายใต้เงื่อนไขต้องยื่นแบบทุกปี ทั้งนี้ไม่ว่าผู้เสียภาษี จะยื่นแบบภาษีถูกหรือยื่นผิดก็ตาม โดยปกติเจ้าพนักงานมีสิทธิประเมินย้อนหลังไม่เกิน 2 ปี (ไม่นับปีปัจจุบัน) เช่น ถ้าปัจจุบันปี 2550 ก็ย้อน หลังได้คือปี 48 – 49 เป็นต้น แต่ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่ามีการหลีกเลี่ยงภาษี เจ้าพนักงานสรรพากรมีอำนาจประเมินขยายระยะเวลาได้ถึง 5 ปี ดังนั้น ผู้เสียภาษีจึงควรเก็บเอกสารให้เกิน 5 ปี (ทำลายเอกสารในปีที่หก) แต่ถ้าผู้เสียภาษีไม่เคยยื่นแบบเลย สรรพากรสามารถประเมินย้อนหลังได้ไม่เกิน 10 ปี”  ถึงบางอ้อ

รายการอ้างอิง
ระบบสารานุกรมภาษี. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2559 จาก http://wiki.mof.go.th/mediawiki/index.php/ความรู้เกี่ยวกับภาษี_J

 

ลิขสิทธิ์ในงานนาฏกรรม : ความสำคัญที่ถูกมองข้าม
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

ลิขสิทธิ์ในงานนาฏกรรม : ความสำคัญที่ถูกมองข้าม

บทคัดย่อ:

จากกระแสความตื่นตัวของสังคมไทยในการเห็นความสำคัญของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาการเคารพต่อความคิดสร้างสรรค์ของผู้อื่นผลักดันให้รัฐหันมาให้ความสนใจในการกำหนดมาตรการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาสนในและตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกซื้อสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย การใช้สินค้าไทย การควบคุมการนำเข้าเครื่องจักรที่ผลิตเทปและซีดี การตรวจจับเทปผี ซีดีเถื่อน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ นโยบายของศาลทรัพย์สินทางปัญญาที่จะไม่รอลงอาญาแก่ผู้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา ตลอดจนการรวมตัวกันของบริษัทผู้ผลิตผลงานเพลงในการลดราคาเทปและซีดี เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนหันมาสนใจสินค้าที่ถูกกฎหมาย การรวมตัวของผู้ประกอบการเหล่านี้ ยังนำไปสู่การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการนำงานดนตรีกรรมอันเป็นผลงานของตนไปเผยแพร่ยังสถานประกอบการอื่นๆ อีกด้วย การจัดตั้งองค์กรกลางในการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ดนตรีโดยรัฐจำเป็นต้องออกกฎหมายมารองรับมาตรการดังกล่าว และวางหลักเกณฑ์เพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดให้ค่าลิขสิทธิ์ดนตรีคาราโอเกะเป็นสินค้าที่มีการควบคุมราคาสินค้า เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นก้าวหนึ่งที่กระตุ้นให้สังคมใส่ใจและใช้สิทธิ์ของตนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ งานนาฏกรรม แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจหรือใส่ใจในการคุ้มครองการสร้างสรรค์งานเท่าที่ควร ทั้งที่มีบทบาทสำคัญไม่น้อยกว่างานอื่นที่ปรากฏอยู่ในสังคมปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นสิ่งบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติ บทความนี้ จึงมุ่งวิเคราะห์ความสำคัญของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานนาฏกรรมและความเป็นไปได้ในการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ในงานนาฏกรรมเช่นเดียวกับงานดนตรีกรรมที่สังคมกำลังให้ควาสนใจอยู่ในขณะนี้

 

นิก สุนทรธัย. (2547). ลิขสิทธิ์ในงานนาฏกรรม : ความสำคัญที่ถูกมองข้าม. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 93-102.

อ่านบทความฉบับเต็ม

 

เมืองบางปลาสร้อยร้อยริ้ว : คตินิยายแห่งภาคตะวันออก
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

เมืองบางปลาสร้อยร้อยริ้ว : คตินิยายแห่งภาคตะวันออก

บทคัดย่อ:

เมืองบางปลาสร้อยร้อยริ้ว เป็นชื่อเรียกขานจังหวัดชลบุรี และฉะเชิงเทรา ในอดีตที่มีลุ่มน้ำบางปะกงตอนต้นเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงและเสมือนอู่อารยธรรมที่มีมาแต่สมัยโบราณ การศึกษาทางคติชนวิทยาในส่วนของนิทานพื้นบ้านอันเกี่ยวเนื่องกับสถานที่สำคัญหลายแห่งทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเมืองโบราณสามแห่งในจังหวัดชลบุรี คือ เมืองพญาแร่ เมืองศรีพโล และเมืองพระรถ แสดงให้เห็นถึงความเจริญงอกงามทางวัฒนธรรมของแหล่งอารยธรรมในภาคตะวันออกที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน

ศราวุธ สุทธิรัตน์. (2547). เมืองบางปลาสร้อยร้อยริ้ว : คตินิยายแห่งภาคตะวันออก. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 85-92.

อ่านบทความฉบับเต็ม

 

บุญคือปัจจัยพื้นฐานของชีวิต : บทวิเคราะห์จากปัญหาในสังคมไทย
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

บุญคือปัจจัยพื้นฐานของชีวิต : บทวิเคราะห์จากปัญหาในสังคมไทย

บทคัดย่อ:

บุญในทัศนะของพระพุทธศาสนา จัดเป็นพื้นฐานของชีวิตด้านจิตใจที่เชื่อมโยงชีวิตทั้งหมดเข้าด้วยกัน มิได้จำกัดอยู่เฉพาะชีวิตมนุษย์เท่านั้น แต่หมายถึงชีวิตทั้งหมดของโลก ทั้งคน สัตว์ พืช ที่ต้องอาศัยบุญคอยสนับสนุนส่งเสริมให้ดำเนินไปอย่างปกติสุข การเข้าใจเรื่องบุญที่ถูกต้องตามหลักการทางพระพุทธศาสนาจะช่วยให้เราเห็นความสำคัญของบุญและปฏิบัติตามหลักการสร้างบุญ ขจัดบาปที่เป็นตัวการทำลายบุญหรือความสมดุลของชีวิตอันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาสังคม เช่น การฆาตกรรม การละเมิดทรัพย์สินของกันและกัน เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ ถ้าวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดแล้วจะได้ข้อสรุปว่าผู้ที่สร้างปัญหาดังกล่าวขาดปัจจัยพื้นฐานของชีวิตที่เรียกว่าบุญทั้งสิ้น

 

ธีรโชติ เกิดแก้ว. (2547). บุญคือปัจจัยพื้นฐานของชีวิต : บทวิเคราะห์จากปัญหาในสังคมไทย. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 70-84.

อ่านบทความฉบับเต็ม

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  (E-Commerce)

บทคัดย่อ:

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เริ่มใช้งานครั้งแรกปี ค.ศ. 1960 เมื่อมีบริษัทในสหรัฐอเมริกานำระบบการเแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange หรือ EDI) และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) มาใช้ในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ขณะนี้ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ธนาคารต่างๆ ได้เริ่มให้บริการในการทำธุรกรรมของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว เช่น ให้บริการรับชำระเงินผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีการสร้างระบบการป้องกันการชำระเงินมารองรับหลายรูปแบบ

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการส่งข้อมูล สินค้าและบริการ หรือการชำระเงินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น สายโทรศัพท์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในทางธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำธุรกรรม (business transaction) และการทำงานตามขั้นตอน (workflow) ขององค์กรเป็นไปอย่างอัตโนมัติในการให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ เครื่องมือที่ช่วยบริษัท ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้และการใช้บริการ ช่วยให้การบริการรวดเร็วขึ้น และช่วยให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้า

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถแบ่งตามลักษณะของคู่ค้าเป็น 4 ประเภท
1) Business to Consumer (B to C) เป็นการค้าระหว่างบริษัทกับผู้บริโภค
2) Business to Business (B to B) เป็นการค้าระหว่างบริษัทกับบริษท
3) Business tp Government (B to G) เป็นการค้าระหว่างองค์กรเอกชนกับองค์กรของรัฐ
4) Consumer to Consumer (C to C) เป็นการค้าระหว่างบุคคลทั่วไป
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ช่วยเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจโดยลดช่องว่างทางการแข่งขันระหว่างองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ทำให้องค์กรธุรกิจต้องปรับตัวทั้งในด้านการบริหาร การจัดการองค์กร รวมไปถึงวิธีการดำเนินธุรกิจ ก่อให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร นอกจากนั้น ยังสร้างโอกาสให้เกิดการทำธุรกิจในรูปแบบใหม่มากมาย

เพ็ญ ชยาวิวัฒน์กุล. (2547). พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  (E-Commerce). วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 61-69.

อ่านบทความฉบับเต็ม

การวิเคราะห์เชิงปริมาณกับการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

การวิเคราะห์เชิงปริมาณกับการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ

บทคัดย่อ:

ในยุคโลกาภิวัฒน์ (globalization) การประกอบธุรกิจต่างๆ จะไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขทางด้านพรมแดน เนื่องจากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ธุรกิจต่างๆ ทั้งที่เป็นธุรกิจท้องถิ่นและธุรกิจระหว่างประเทศต้องแข่งขันกันมากขึ้น การที่ธุรกิจภายในประเทศเริ่มหันมาประกอบธุรกิจระหว่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการขยายตลาด แสวงหาแหล่งทรัพยากร ขยายกำลังการผลิต และเพื่อแสวงหาเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น การทำธุรกิจระหว่างประเทศสามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น การนำเข้าและส่งออก (importing and exporting) การร่วมทุน (joint venture) การได้รับอนุญาตให้ผลิต (licencing) การได้รับอนุญาตให้ดำเนินการ (tranchising) หรือ การทำสัญญาแบบเหมาเบ็ดเสร็จ (tunkey operation) เป็นต้น การดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศมีปัจจัยหลายประการที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานมากกว่าการประกอบธุรกิจท้องถิ่น เช่น สภาพแวดล้อม ข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย ภาษาและวัฒนธรรม สังคมและการเมือง เป็นต้น  ในการดำเนินธุรกิจ การวางแผน การบริหารจัดการ และการตัดสินใจของธุรกิจระหว่างประเทศควรมิให้เกิดข้อผิดพลาด มิฉะนั้นแล้วจะเกิดความเสียเปรียบต่อคู่แข่งขัน ดังนั้น ธุรกิจระหว่างประเทศจึงหันมาใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (quantitative analysis approach) เข้ามาช่วยในการวางแผน การบริหารจัดการและตัดสินใจ เพราะวิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณจะสามารถช่วยหาคำตอบที่เหมาะสมอย่างมีเหตุมีผล โดยอาศัยหลักทางคณิตศาสตร์และสถิติเข้ามาช่วย วิธีการในการวิเคราะห์เชิงปริมาณประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ ขั้นการกำหนดปัญหา ขั้นการพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (model) ขั้นการกำหนดข้อมูลที่ต้องการ ขั้นการกำหนดแนวทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ขั้นทดสอบหาแนงทางเลือกในการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ขั้นการวิเคราะห์ผลลัพธ์ และขั้นตอนสุดท้าย คือ การนำผลลัพธ์ไปใช้จริง ซึ่งขั้นตอนในการวิเคราะห์เชิงปริมาณเหล่านี้ สามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์มาช่วยในการประมวลผลและหาคำตอบได้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงค่อนข้างทำให้นิยมใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณมาประยุกต์ใช้ในการประกอบธุรกิจมากขึ้น

 

สมยศ อวเกียรติ. (2547). การวิเคราะห์เชิงปริมาณกับการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 51-60.

อ่านบทความฉบับเต็ม

 

การบริหาร : การสร้างแรงจูงใจในที่ทำงาน
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

การบริหาร : การสร้างแรงจูงใจในที่ทำงาน

บทคัดย่อ:

ความต้องการและแรงจูงใจเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลในองค์การ ดังนั้น ผู้บริหารจึงมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวนี้ เพื่อการบริหารที่มุ่งหวังผลจากความสามัคคีของบุคคลในองค์การ ตลอดจนการสร้างแรงเสริมและความกระตือรือร้น จากหลักการบริหารที่กล่าวว่าองค์การเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนและงาน องค์การจึงเป็นความเกี่ยวข้องระหว่างคนและงาน ทั้งนี้ เพราะคนเป็นผู้สร้างงานขึ้น นั่นคือ การที่คนได้สร้างองค์การขึ้นมานั่นเอง ในขณะที่งาน ซึ่งเป็นระบบที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในการที่คนใช้เป็นต้นแบบในการทำงาน ดังนั้น งานจึงเป็นสิ่งที่ควบคุมคนด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คนและงานจึงเอื้อประโยชน์ต่อกัน เพราะคนเป็นผู้สร้างงาน ในขณะที่งานเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมของคนให้สอดคล้องกันในการทำงานร่วมกัน จากความสัมพันธ์ดังกล่าวทั้งหมดนี้ จึงจะเห็นได้ว่า หากบุคลากรในองค์การ ได้รับแรงจูงใจในการทำงานให้เขาเหล่านั้น ได้บรรลุถึงความต้องการของตนเองแล้ว ก็จะก่อให้เกิดประสิทธิผลในการทำงาน และประสิทธิผลโดยรวมขององค์การ

สถาพร ปิ่นเจริญ. (2547). การบริหาร : การสร้างแรงจูงใจในที่ทำงาน. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 45-50.

อ่านบทความฉบับเต็ม

 

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติที่สอบคัดเลือกด้วยวิธีมหาวิทยาลัยคัดเลือกเองกับทบวงมหาวิทยาลัยคัดเลือก
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติที่สอบคัดเลือกด้วยวิธีมหาวิทยาลัยคัดเลือกเองกับทบวงมหาวิทยาลัยคัดเลือก

A Comparison of Learning Achievement Between Huachiew Chalermprakiet University Students Who Gained Admission Through the Ministry of University Affairs and Those Who Were Admitted by the University Directly

บทคัดย่อ:

การวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติที่สอบคัดเลือกด้วยวิธีมหาวิทยาลัยคัดเลือกเองกับทบวงมหาวิทยาลัยคัดเลือก ซึ่งใช้วิธีการจับคู่ (Matching) ของนักศึกษาทั้งสองประเภท โดยสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่ศึกษาในชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2544-2545 ทั้งหมดรวม 6 คณะ คือ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะเภสัชศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะกายภาพบำบัด และคณะสาธารณสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสิ้น 558 คน จำแนกเป็นนักศึกษาชาย 20 คน และนักศึกษาหญิง 538 คน การสุ่มตัวอย่างจากประชากรดังกล่าวคำนึงถึงสถานภาพส่วนตัว คือ เพศ อายุ แผนกวิชา ที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย คณะหรือสาขาวิชาที่กำลังศึกษาอยู่ และสถานภาพทางครอบครัว คือ ภูมิลำเนา อาชีพบิดา (มารดา) การเลือกตัวอย่างแบบจับคู่โดยให้แต่ละคู่มีลักษณะใกล้เคียงกันมากที่สุด เพื่อเพิ่มความเที่ยง (precision) ในการเปรียบเทียบค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมทางการเรียนของนักศึกษาทั้งสองประเภท

ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีสมมติฐานว่า ค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมทางการเรียนของนักศึกษาที่สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติด้วยวิธีมหาวิทยาลัยคัดเลือกเองกับทบวงมหาวิทยาลัยคัดเลือกไม่แตกต่างกัน โดยใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความแปรปรวน ในกรณีข้อมูลมีการจำแนกสองทางโดยมีความเกี่ยวพัน (ANOVA- Two Ways Classification with Interaction) ผลการวิจัยพบว่า

นักศึกษาที่สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติด้วยวิธีมหาวิทยาลัยคัดเลือกเองกับทบวงมหาวิทยาลัยคัดเลือกมีค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมทางการเรียนไม่แตกต่างกัน เมื่อทดสอบอิทธิพลของคณะ ปรากฏว่า มีผลต่อค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมทางการเรียนของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 แต่ไม่พบว่าอิทธิพลร่วมของคณะกับประเภทการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีผลต่อค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมทางการเรียน

 

ชัยรถ หมอเมือง. (2547). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติที่สอบคัดเลือกด้วยวิธีมหาวิทยาลัยคัดเลือกเองกับทบวงมหาวิทยาลัยคัดเลือก. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 32-44.

อ่านบทความฉบับเต็ม

REHABCO and recovery signal : a retrospective analysis
มี.ค. 13th, 2016 by rungtiwa

REHABCO and recovery signal : a retrospective analysis

บทคัดย่อ:

An investigation of the REHABCOûs financial position and performance using the Altman
model as a retrospective analysis is conducted. Original Altmanûs cutoff points are set out to quantify a recovery signal of the ailing firms. Results indicate that, on average, those ailing firms in the REHABCO still have poor performance and financial position. There are only two companies with the Z-score greater than the higher cutoff point, that means they are, theoretically, in the safe area. However, at the end of the year 2003 the two healthier firms are still in the REHABCO . This can be interpreting that the result of the Altman model is only a guideline of the recovery investigation, and the companies still need special treatments in order to reach strong financial position and performance on continuous basis.

Worasith Jackmetha. (2547). REHABCO and recovery signal : a retrospective analysis. วารสาร มฉก.วิชาการ 7 (14), 25-31.

อ่านบทความฉบับเต็ม

»  Substance:WordPress   »  Style:Ahren Ahimsa