ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการไม่ไปใช้บริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลเครือข่ายของผู้ประกันตน
Factors Related to the Non-Using Medical Services of Insured Persons
บทคัดย่อ:
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการไม่ไปใช้บริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลเครือข่ายของผู้ประกันตน โดยศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านการรับรู้ลักษณะการเจ็บป่วยและการประเมินการเจ็บป่วยในการตัดสินใจใช้บริการทางการแพทย์ ปัจจัยด้านการรับรู้สิทธิประโยชน์การใช้บริการทางการแพทย์ และปัจจัยด้านทัศนคติที่มีต่อสถานพยาบาลเครือข่าย นอกจากนี้ยังศึกษาคุณภาพบริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาลเครือข่าย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้ประกันตนที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวีณ ศรีราชา เป็นสถานพยาบาลคู่สัญญาหลักและมารับบริการทางการแพทย์กรณีผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวีณ ศรีราชา ด้วยโรคที่สามารถรักษาได้ที่สถานพยาบาลเครือข่าย จำนวน 384 ราย เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคมถึงสิงหาคม พ.ศ. 2550 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 4 ชุด ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.78, 0.80, 0.76 และ 0.82 เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์
ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 30-44 ปี สถานภาพสมรส (คู่) พักอาศัยอยู่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน5,001-10,000 บาท รับบริการที่โรงพยาบาลด้วยอาการแสดงและสิ่งผิดปกติที่พบจากการตรวจทางคลินิก ไม่ได้ไปรับบริการจากที่อื่นก่อนมารับบริการในครั้งนี้ และทราบว่า ถ้าเลือกโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวีณ ศรีราชา เป็นสถานพยาบาลหลักแล้ว สามารถไปใช้บริการสถานพยาบาลเครือข่ายได้ผู้รับบริการทราบข้อมูลสถานพยาบาลเครือข่ายจากบริษัท/หน่วยงานที่ทำงานอยู่ ช่วงเวลาที่กลุ่มตัวอย่างสะดวกไปใช้บริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลเครือข่ายมากที่สุด คือ ช่วงเวลา 17.00 – 22.00 น. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ที่พักอาศัยระดับการศึกษา รายได้ พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับการไม่ไปใช้บริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลเครือข่าย ส่วนปัจจัยด้านการรับรู้ลักษณะการเจ็บป่วยและการประเมินการเจ็บป่วย ปัจจัยด้านการรับรู้สิทธิประโยชน์การใช้บริการทางการแพทย์และปัจจัยด้านทัศนคติที่มีต่อสถานพยาบาลเครือข่าย มีความสัมพันธ์กับการไม่ไปใช้บริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลเครือข่าย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ α = 0.05 คุณภาพการบริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาลเครือข่ายโดยรวมทุกด้าน อยู่ในระดับปานกลาง The objectives of this study were to study factors related to the non-using medical services at network hospitals of insured persons registered at Queen Savang Vadhana Memorial Hospital with the relationship of relevant factors. The studied factors included the personal factor, the perception of illness and the illness evaluation prior to the medical service acceptation, the perceiving of the right factor of assertion under the network hospitals, the factor of attitude towards the network hospitals and the medical service quality. A total of 384 insured persons with mild and moderate illnesses who have registered at Queen Savang Vadhana Memorial Hospital were studied from March to August 2007. Four questionnaires were used by the interviewers as the research tools with reliabilities of 0.78, 0.80, 0.76 and 0.82 respectively.
Results showed that the majority of participants were female with married status. Their ages range from 30 to 44 years. Their residences were mostly located in Sriracha District, Chonburi province. Most of them finished high school level, and the average income is 5,001-10,000 bath per month. The illnesses, symptoms and abnormalities of the samples were confirmed by clinical checking. No other medical checking was made before receiving this medical service. The samples have know that they could receive the medical services from any other network hospitals under the condition of selecting the Queen Savang Vadhana Memorial Hospital as the main contractor. They learned the information of network hospitals from their current working companies. The most convenient time for receiving the medical services was 5.00-10.00 p.m.The analysis of relationship between sex, age, marital status, residence, education background and income found no association with non-using medical services at network hospitals. However, the illness perception, the illness evaluation, the perceiving of the right factors of assertion under the network hospitals and the factors of attitude towards network hospitals were found significantly relating to non-using medical services at α = 0.05. The overall medical service quality of the network hospitals was found fair.
กันต์กนิษฐ์ ชูวงศ์อภิชาต และ เสาวลักษณ์ ลักษมีจรัลกุล. (2553). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการไม่ไปใช้บริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลเครือข่ายของผู้ประกันตน. วารสาร มฉก.วิชาการ 14 (27), 37-54.
อ่านบทความฉบับเต็ม
ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุในชุมชน
The Effectiveness of Self-Care Behavior Promoting Program on Self-Care Behavior and Blood Pressure Level in Essential Hypertensive Patients in Community
การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกอย่างเจาะจงจากผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงเกินระดับ 1 ค่าความดันโลหิต 159/99 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป และมารับการตรวจรักษาที่สถานีอนามัยตำบลทับตีเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีจำนวน 54 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองและแบบสอบถามพฤติกรรมดูแลตนเอง ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเที่ยง ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.78 การดำเนินการวิจัยเริ่มจากประเมินความดันโลหิตและพฤติกรรมการดูแลตนเอง จากนั้นดำเนินการตามโปรแกรม 4 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ขั้นสลายพฤติกรรม และขั้นสร้างมนุษย์สัมพันธ์และเกิดปฏิสัมพันธ์ครั้งที่ 2 ขั้นสร้างมนุษย์สัมพันธ์และเกิดปฏิสัมพันธ์และขั้นสร้างสรรค์ก่อเกิดความคิดริเริ่ม ครั้งที่ 3 ขั้นสร้างสรรค์ก่อเกิดความคิดริเริ่มและขั้นการระดมความคิดครั้งที่ 4 ขั้นการระดมความคิดและขั้นประเมินผล ใช้ระยะเวลา 10 สัปดาห์จึงวัดความดันโลหิตและพฤติกรรมการดูแลตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที(paired t-test) ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำแนกรายด้าน พบว่า ด้านการปฏิบัติตัวทั่วไปค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.0 (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.4) ด้านการรับประทานยาและการเลือกอาหารค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.0 (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.4) ด้านการออกกำลังกาย ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.2 (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.7) และด้านการผ่อนคลายความเครียดค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.4 (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.6) และหลังจากเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองพบว่า มีอาการเวียนศีรษะคิดเป็นร้อยละ 37.0 พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย การดูแลตนเองพบว่า อยู่ในระดับดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองในภาพรวมหลังเข้าโปรแกรมสูงกว่าก่อนเข้าโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p = 0.001) โดยพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านการออกกำลังกายและด้านการผ่อนคลายความเครียดสูงกว่าก่อนเข้า โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p = 0.001) ส่วนระดับความดันโลหิตหลังเข้าร่วมโปรแกรมผู้ป่วยมีค่าระดับความดันโลหิตระดับ 1 ร้อยละ 64.9 จึงพบว่า ระดับความดันโลหิตภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p = 0.001) โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าความดันซีสโตลิค
ผลการวิจัยเสนอแนะให้พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนและบุคลากรสาธารณสุขประยุกต์โปรแกรมส่งการการดูแลตนเองแก่ผู้ที่มีระดับความดันโลหิตสูงเกิน 1 ในชุมชนอื่น ๆ The objective of this quasi – experimental research was to investigate the effectiveness of Self-care Behavior Promoting Program on self-care behavior and blood pressure level in essential hypertensive clients. The 54 purposive samplings were selected, have has level 1 higher blood pressure (>159/99 mmHg) and have been receiving hypertensive drugs at Tabteelek district health service center, amphur mueng, Supanburi province. The research instruments were Self-care Behavior Promoting Program and questionnaires related to self-care behaviors. The content validity and reliability of the questionnaire were tested, the alpha-coefficient was 0.78. The research processes were composed of blood pressure assessment, self-care behavior assessment, and self-care behavior promoting program implementation, respectively. The Self-care Behavior Promoting Program consisted of 4 stages of 10 trial weeks : 1) ice breaking and humanization with interaction, 2) humanization with interaction and creation, 3) creation and brain stroming, and 4) brain stroming and evaluation. Data were analyzed by percentage, average, standard deviation, and paired t-test.
Results of this research were found that self-care behaviors before implementing Self – Care Behavior Program, mean of their basic self-care behaviors was 3.0 (SD = 0.4), mean of drug administration and diet management was 3.0 (SD = 0.4) mean of their exercise behavior was 3.2 (SD = 0.7), and the mean of stress management was 3.4, (SD = 0.6) respectively. After the program, 37.0 percent had dizziness. All of patients’ self-care behaviors were better than before implementing program (p = 0.001). mean of exercise behavior and stress management was significantly different (p = 0.001). Also the level of blood pressure after implementing the program, 64.9 percent of patients had high blood pressure at level 1. There are, blood pressure level was lower after implementing the program, especially systolic score was significantly decreased (p = 0.001).
The suggestions from this research is that the community nurse practitioner and health care personnel should apply this program for level 1 the high blood pressure in other communities.
พัชราภัณฑ์ ไชยสังข์ จริยาวัตร คมพยัคฆ์ และ วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย. (2553). ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุในชุมชน. วารสาร มฉก.วิชาการ 14 (27), 21-36.
การพัฒนาและแก้ไขปัญหาชุมชน ด้วยการจัดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน กรณีศึกษาตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
Development and Problem Solving of a Community by Community Based Tourism Management : A case study of Bangnamphung Floating Market, Phrapadaeng District, Samut Prakan Province
การศึกษาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาชุมชน ด้วยการจัดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนกรณีศึกษาตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพผสมผสานกับการสำรวจข้อมูลเชิงปริมาณ ประกอบด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์การเข้าร่วมกิจกรรมการสำรวจพื้นที่ และการใช้แบบสอบถาม เพื่อเก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้จำหน่ายสินค้าและนักท่องเที่ยว
ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำผึ้ง สามารถแก้ไขปัญหาให้แก่ชุมชนเรื่องผลผลิตทางการเกษตรได้เพราะเป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากปัจจัยภายนอกซึ่งได้แก่ กระแสการส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆ ของภาครัฐ ที่สร้างความต้องการในการท่องเที่ยวของภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวระดับท้องถิ่น โดยมีปัจจัยภายในคือ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวนเกษตรดั้งเดิมแบบยกท้องร่อง ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของภาครัฐมาตั้งแต่ปี 2520 และตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้การมีผู้นำอย่างเป็นทางการที่ดำรงตำแหน่งนายก อบต. ทำให้ สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถขยายผลการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวไปเชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง เช่น การพัฒนาด้านคมนาคม สาธารณูปโภคต่างๆ การรื้อฟื้นวัฒนธรรมประเพณีเป็นต้น ในส่วนของกระบวนการจัดการเพื่อบรรลุตามองค์ประกอบ 4 ด้านของการเป็นแหล่งท่องเที่ยว เชิงนิเวศ ได้แก่ (1) องค์ประกอบด้านพื้นที่ท่องเที่ยว (2) องค์ประกอบด้านการจัดการ (3) องค์ประกอบ ด้านกิจกรรมกระบวนการ และ (4) องค์ประกอบด้านการมีส่วนร่วมรวมถึงการประชาสัมพันธ์และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทั้งในและนอกพื้นที่ พบว่าทำได้ดีในองค์ประกอบที่ 1-3 หากแต่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมในองค์ประกอบที่ 4 ด้านการมีส่วนร่วม และควรสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวกับพื้นที่ตำบลใกล้เคียงให้มากขึ้น Development and Problem Solving of a Community by Community Based Tourism Management : A case study of Bangnamphung Floating Market, Phrapadaeng District, Samut Prakan Province was a qualitative research combined with a quantitative survey. An observation of participants, interviews, activity participation, and local area survey were conducted simultaneously. Also a questionnaire was used to collect the basic data of both vendors and tourists at Bangnamphung Floating Market.The study revealed that the establishment and management of Bangnamphung Floating Market by The Administrative Organization of Tambon Bangnamphung (AOTB) assisted local people in selling their agricultural products, launching careers, and increasing their income. Such development success had been derived from an external factor which supports trends launched by the government in various types of tourism to steadily motivate people’s needs in travelling while simultaneously supporting local tourist attractions. Bangnamphung Floating Market is a natural tourist attraction with local distinctions. This Bangnamphung Floating Market was formed in an elevated agricultural area near Bangkok which has been conserved by the government since 1977. Apart from the advantages of its suitable location, its efficient leader also plays a vital role in the community. The Chairman of the Administrative Organization of Tambon Bangnamphung is the key person who mainly allocated the budget for developing the tourist attractions continuously and also widely extended the results of tourism development to link with development in other aspects such as transportation, infrastructure, and culture and custom restoration.
For the 4 components of Ecotourism (ecological tourism) namely, (1) Tourist’s allocated area, (2) Management, (3) Activity process, and (4) Participation including public relations and network making for developing tourist attractions both inside and outside the area, the first three components were very well performed. For the fourth component, some improvements are needed, especially in terms of increasing participation and network-making in developing tourist attractions within the districts nearby.
จริยาวัฒน์ โลหะพูนตระกูล. (2553). การพัฒนาและแก้ไขปัญหาชุมชน ด้วยการจัดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน กรณีศึกษาตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ. วารสาร มฉก.วิชาการ 14 (27), 1-19.
การวิเคราะหตนไมแหงความลมเหลว : เทคนิคการชี้บงอันตรายเพื่อปองกันการเกิดอุบัติเหตุจากงาน
Fault Tree Analysis: Hazard Identification Techniques for Preventing Work Accidents
การสอบสวนอุบัติเหตุเป็นกิจกรรมหนึ่งของการบริหารงานด้านความปลอดภัยเชิงรับซึ่งทำให้ทราบถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น การใช้เทคนิคการวิเคราะห์ต้นไม้แห่งความล้มเหลว (fault tree analysis : FTA) เข้ามาช่วยจะทำให้สามารถค้นหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุหรือการเกิดความล้มเหลวของระบบได้อย่างละเอียดจนไปถึงสาเหตุพื้นฐาน (basic event) เนื่องจากเป็นเทคนิคในการคิดย้อนกลับที่อาศัยหลักการทางตรรกะวิทยาของ Boolean หาความเป็นเหตุเป็นผลของการเกิดปัญหาหรือความล้มเหลวนั้นโดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ การกำหนดหรือเลือกเหตุการณ์ตั้งต้น (top event) การจัดทำแผนภูมิโครงสร้างต้นไม้ของความล้มเหลว การสรุปชุดสาเหตุ (cut sets) ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ตั้งต้น การจัดลำดับความสำคัญของชุดสาเหตุพื้นฐานเพื่อพิจารณาแก้ไขป้องกันต่อไป การใช้เทคนิคนี้จึงจำเป็นต้องใช้ทีมวิเคราะห์ที่มีความรู้และเข้าใจในรายละเอียดของกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความล้มเหลวนั้น ทั้งนี้การใช้เทคนิค FTA ในการวิเคราะห์เพียงเทคนิคเดียวอาจไม่เพียงพอจึงอาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคอื่นร่วมเช่น failure modes and effects analysis (FMEA) และ hazard and operability analysis (HAZOP) เป็นต้น
Accident investigation is an activity of advanced safety management which helps us know only some causes of accidents. The use Fault Tree Analysis (FTA) technique could search for causes of accidents or system failures in details and lead us to know basic event. FTA presents failure logic using Boolean logic model to find out rational causes of problems or failures which comprises of 4 processes as follows: setting or selecting top event, constructing Fault Trees diagram, finding the route through a tree between an event and an initiator in the tree called a cut set and setting priority of basic events for considering to solve problems on the next step. By using this technique, the analysis team should have knowledge and well understand in the entire processes relating problems or failures. Only FTA technique, this might not be sufficient, it should combine with other techniques for analysis such as failure modes and effects analysis (FMEA) and hazard and operability analysis (HAZOP) etc.
อุมารัตน ศิริจรูญวงศ. (2555). การวิเคราะหตนไมแหงความลมเหลว : เทคนิคการชี้บงอันตรายเพื่อปองกันการเกิดอุบัติเหตุจากงาน. วารสาร มฉก. วิชาการ 15 (30), 167-180.
การจัดการโลจิสติกสเพื่อสรางความไดเปรียบทางการแขงขัน : กรณีศึกษาบริษัท วี-เซิรฟ โลจิสติกส จำกัด
Logistics Management for The Competitive Advantage : A Case Study of V-Serve Logistics Limited
สุนทรี เจริญสุข. (2555). การจัดการโลจิสติกสเพื่อสรางความไดเปรียบทางการแขงขัน : กรณีศึกษาบริษัท วี-เซิรฟ โลจิสติกส จำกัด. วารสาร มฉก. วิชาการ 15 (30), 119-137.
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเฟอรนิเจอรไมดวยวิธีการพยากรณความตองการ
The Productivity Improvement of Wood Furniture with Demand Forecasting Methods
ณรงคเดช เดชทวิสุทธิ์. (2555). การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเฟอรนิเจอรไมดวยวิธีการพยากรณความตองการ. วารสาร มฉก. วิชาการ 15 (30), 107-117.
โครงการพัฒนาคุณภาพอุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑเกษตรแปรรูป OTOP จังหวัดนครนายก
Quality Development in Food Industry and Agricultural Processed Products (OTOP) at Nakhon Nayok Province
โครงการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ OTOP ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ในอันที่จะเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพรวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ OTOP หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ จากการพัฒนาสินค้าที่ต่อเนื่องครบวงจร โดยมีระเบียบวิธีการวิจัย ดังนี้ ประชากร คือ กลุ่มผู้ประกอบการ OTOP เป้าหมายจำนวน 15 กลุ่ม ตามการคัดสรรของสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครนายก ขั้นตอนการวิจัย ได้แก่ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพผลิตภัณฑ์ การนำผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการเข้ารับการตรวจสอบคุณภาพ การสำรวจแหล่งผลิตสินค้าของชุมชนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ GMP และการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพอุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป OTOP จังหวัดนครนายก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินผลการฝึกอบรม แบบสำรวจ แบบตรวจสอบรายการ และแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า ในด้านระดับความรู้ความเข้าใจของผู้ประกอบการ OTOP ก่อนและหลังการฝึกอบรม ค่าเฉลี่ย และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น กล่าวคือ ระดับความรู้ที่ได้รับก่อนการฝึกอบรมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย (x–) เท่ากับ 1.71 แต่เมื่อได้รับการฝึกอบรมแล้วมีความรู้เพิ่มขึ้นในระดับมากมีค่าเฉลี่ย (x–) เท่ากับ 2.68 แสดงให้เห็นว่าการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพอุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เมื่อสรุปภาพรวมระดับความพึงพอใจของผู้เข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ มีค่าเฉลี่ย (x–) เท่ากับ 4.21 จากผลการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากห้องปฏิบัติการปรากฏว่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผ่านการตรวจสอบสอบ ในด้านศักยภาพของผลิตภัณฑ์ OTOP จากผลการสัมภาษณ์พบว่าจุดแข็งที่สำคัญ ได้แก่ ประการแรก การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้น ประการที่สอง จังหวัดนครนายกเป็นแหล่งพืชผลทางการเกษตรที่มีความอุดมสมบูรณ์ทำให้มีวัตถุดิบที่มีคุณภาพสำหรับการแปรรูปหรือถนอมอาหาร ประการที่สาม ชุมชนแต่ละกลุ่มได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากหน่วยงานของทางราชการทั้งในด้านการพัฒนาคุณภาพของผลิต การจัดการธุรกิจ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การสร้างช่องทางการตลาด สำหรับจุดอ่อนก็คือ ประการแรก ขาดการเสริมสร้างแนวความคิดในเชิงธุรกิจให้กับชุมชนหรือผู้นำชุมชน หลายชุมชนที่ยังมีจุดอ่อนไม่สามารถพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของตลาดประการที่สอง ชุมชนยังขาดการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีหรือการใช้ความรู้ทางเทคนิคที่ทันสมัยมาใช้เพื่อช่วยในการผลิต รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมใหม่ของผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัด
The objective of this research is to study the preparations of OTOP product quality development by the entrepreneur in order to expand the network of entrepreneurs in cooperation with both public and private sectors. Research methodology was as follows : The subjects are selected among 15 groups of entrepreneurs from Nakhon Nayok Community Development Office. There are 4 steps in this research; quality assessment, product testing, comparing surveys, and interviewing the stakeholders. The research instruments consist of evaluation forms, conducting a survey, a checklist and an interview. The results of this research revealed that the entrepreneurs had a significantly lower understanding before the training with an average and standard deviation. For example, before the training the results show that they only have moderate understanding for (x– = 1.71) but after the training the results show that they have better understanding for (x– = 2.68). The finding of this research indicates that the training program can be used as an instrument to improve entrepreneurs knowledge, understanding and the mportance of quality development. The overall satisfaction of the activities is x– = 4.21 and the results of quality products laboratory testing is satisfactory. Moreover, the results of the interviews with the stakeholders give a lot of information about the OTOP products and its advantage. First of all, all value-added products produce from the wisdom of Nakhon Nayok community. Second, Nakhon Nayok has location for goods materials and natural products. Third, each community is supported by the local government in conducting quality development trainings, administration, product design, and expanding market distribution channels. There’s weakness on the other hand. In the community, there’s a shortage of leaders and lack of creative thinking business strategy such as a lack of technology development and technical know-how to increase productivity. Another weakness is that there is a restriction on new product innovation.
สุพิศพรรณ วัจนเทพินทร และชุติระ ระบอบ. (2555). โครงการพัฒนาคุณภาพอุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑเกษตรแปรรูป OTOP จังหวัดนครนายก. วารสาร มฉก. วิชาการ 15 (30), 89-105.
ปัจจัยคัดสรรที่มีอิทธิพลตอพฤติกรรมการสรางเสริมสุขภาพ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
Selected Factors Affecting Health Promoting Behaviors of Undergraduate Students in Huacheiw Chalermprakiet University
ทวีศักดิ์ กสิผล ภัทรา เล็กวิจิตรธาดา และอัจฉรา จินายน. (2555). ปัจจัยคัดสรรที่มีอิทธิพลตอพฤติกรรมการสรางเสริมสุขภาพ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. วารสาร มฉก. วิชาการ 15 (30), 31-46.
การกีดกันทางการคาระหวางประเทศ : มาตรการกีดกันที่มิใชภาษี
International Trade Barriers : Non-Tariff Measures (NTMs)
ธิดารัตน โชคสุชาติ. (2554). การกีดกันทางการคาระหวางประเทศ : มาตรการกีดกันที่มิใชภาษี. วารสาร มฉก. วิชาการ 15 (29), 113-129.
เพศสัมพันธในผูสูงอายุ
Sexuality in Older Adults
ชนิกา เจริญจิตตกุล. (2554). เพศสัมพันธในผูสูงอายุ. วารสาร มฉก. วิชาการ 15 (29), 97-112.